จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พระอภัยมณี "คำมั่นสัญญา"


เป็นบทตอนหนึ่งที่พระอภัยเกี้ยวนางระเวง


 นางละเวงวัณฬา เป็นธิดากษัตริย์เมืองลังกาและเป็นน้องของอุศเรน เมื่อพ่อและพี่ชายของนางตาย นางก็ครองเมืองแทนโดยมีตราราหูเป็นของวิเศษประจำตัว นางต้องการแก้แค้นแทนพ่อและพี่ชายจึงส่งภาพวาดของนางซึ่งทำเสน่ห์ไว้พร้อมกับแนบจดหมายชักชวนให้ทำศึกกับเมืองผลึกไปถึงเจ้าเมืองต่างๆ โดยสัญญาว่าถ้าใครมีชัยชนะนางพร้อมจะเป็นภรรยาและยกเมืองลังกาให้ครองด้วย บรรดาเจ้าเมืองเหล่านั้นหลงรูปของนางจึงยกทัพมารบกับเมืองผลึก แต่พ่ายแพ้ไปหมดทุกกองทัพ พระอภัยมณีจึงยกทพไปตีเมืองลังกาบ้าง นางละเวงใช้วิธีทำเสน่ห์ให้พระอภัยมณีหลงรักนาง แล้วนางก็ยุให้สู้รบกับกองทัพฝ่ายเมืองผลึก จนโยคีแห่งเกาะแก้วพิสดารมาเทศนาโปรด สันติสุขจึงกลับคืนมา เมื่อพระอภัยมณีออกบวช นางก็บวชตามไปปรนนิบัติรับใช้เช่นเดียวกับนางสุวรรณมาลี
    





นางละเวงวัณฬาเป็นหญิงฝรั่ง ธิดาของของกษัตริย์เมืองลังกา และเป็นน้องสาวของอุษเรนผู้เป็นคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี เมื่อนางอายุได้ ๑๖ ปี   นางต้องสูญเสียบิดาและพี่ชายไปในสงครามสู้รบระหว่างเมืองลังกาและเมืองผลึกเพื่อแย่งชิงนางสุวรรณมาลีกลับคืนจากพระอภัยมณี แม้จะเสียใจ จนคิดที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อและพี่ชายไป แต่ด้วยความแค้นและภาวะที่บ้านเมืองกำลังขาดผู้นำ นางจึงขึ้นครองเมืองลังกาแทนบิดา และตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้แค้นแทนบิดาและพี่ชายให้จงได้


ลักษณะนิสัย
บทบาทของนางละเวงในเรื่องนั้นค่อนข้างแปลกกว่าตัวผู้หญิงในเรื่องอื่นๆ คือมีลักษณะเป็นทั้งนางเอกและผู้ร้าย
ในตอนต้นนางทำศึกโดยการใช้เล่ห์กลอุบายตามคำแนะนำของบาทหลวง ทั้งนี้ด้วยคามแค้นที่พ่อและพี่ชายถูกฆ่าตายด้วยฝีมือชาวเมืองผลึก แม้ว่าความพยายามของนางในตอนต้นๆจะไม่ได้ผลเต็มที่ นางก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งพระอภัยมณียกทัพข้ามไปราวีกรุงลังกาเสียเอง ทั้งๆที่มีความเกลียด ความโกรธ ความอาฆาตแค้นอยู่เต็มอก แต่พอนางได้พบหน้า และต่อปากต่อคำกับพระอภัยมณีศัตรูคนสำคัญเพียงครั้งเดียว นางก็ชักจะเรรวนไปข้างเสน่หาพระอภัยมณีเสียแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าเมืองลังกา นางละเวงจึงยอมตัดใจไม่เกี่ยวข้องกับพระอภัยมณีเป็นอันขาด แต่จะยกกองทัพกลับมาต่อสู้ให้ชนะให้จงได้ การที่จะทำศึกกับคนที่ตนรักนั้นไม่ใช่ของง่าย นางละเวงเองก็ทรมานใจ




“เมื่อต่างชาติศาสนาเป็นข้าศึก    สุดจะนึกร่วมเรียงเคียงเขนย
ขอสู้ตายชายอื่นไม่ชื่นเชย           จนล่วงเลยสู่สวรรค์ครรไล”


บทเห่กล่อมเรื่องพระอภัยมณี ช่วงที่ ๕ ตอนนางละเวงเดินไพร ควบม้าหนีพระอภัย
เห่เอยเห่กล่าว ถึงลูกสาวเจ้าลังกา
โฉมลเวงวัณฬา ทรงอาชามากลางไพร
เลี้ยวหลงวงเดิน พนมเนินพนาลัย
แลเหลียวเปลี่ยวใจ วิเวกในดงตาล
เห็นแต่สัตว์จัตุบาท มฤคราชแรดฟาน
เสือสิงห์วิ่งทะยาน เสียงสะท้านสะเทือนดัง
นางหลีกลัดดัดเดิน แนวเนินพนมวัง
ให้หิวโหยโรยกำลัง จนม้าที่นั่งก็อ่อนแรง
แลดูพระสุริย์ฉาย ก็เบี่ยงบ่ายชายแสง
สุดสังเกตเขตแขวง ไม่รู้แห่งหนทาง
แลขวาเป็นป่าชัฏ ข้างซ้ายขัดภูเขาขวาง
ล้วนป่าสูงยูงยาง ไปตามหว่างศีขรินทร์
เป็นโกรกกรวยห้วยธาร หุบละหานเหวหิน
ฝูงปักษาเที่ยวหากิน บ้างโผบินร่อนเรียง
แจ้วแจ้วแก้วพลอด ฉอดฉอดฉ่ำเสียง
กระลุมภูเป็นคู่เคียง เค้าโมงเมียงมองแล
ฝูงอิลุ้มคุ่มขาบ กระจิบกระจาบจอแจ
นกออกเอี้ยงเคียงคับแค เสียงซ้อแซ้สนั่นไพร
โพรโดกนั้นโอกเสียง เสนาะสำเนียงนกตะไน
กินปลีเปล้าเขาไฟ จับกิ่งไม้มองเมียง
ไก่ฟ้าพระยาลอ ขันจ้อแจ้วเสียง
นกอุลอคลอเคียง กะเรียนเรียงรังนาน
ฝูงยางกรอกดอกบัว กระเต็นกระตั้วหัวขวาน
เบญจวรรณขันขาน บ้างบินผ่านโผจร
คุลาโห่โกกิล นกขมิ้นเหลืองอ่อน
เรียงจับสลับสลอน นางนวลนอนแนบนาง
บ้างเวียนวิ่งบนกิ่งไม้ บ้างซุกไซ้ปีกหาง
ชมเพลินเดินพลาง วิเวกวางเวงใจ
บาระบูนขุนแผน กระเวนกระแวนระวังไพร
ตัวเขียวเหยี่ยวตะไกร ไล่ลูกไก่เวียนวง
ที่เงื้อมเงาเขาสูง แต่ล้วนฝูงเหมหงส์
ปีกเจ้าอ่อนร่อนลง ประสานส่งสำเนียง
นกยูงเป็นฝูงฟ้อน เหมือนละครรำเรียง
กรีดกรายชะม้ายเมียง ประสานเสียงสนั่นดัง
สาลิกาสุวาที นกโนรีเรียงรัง
เหมือนนกเลี้ยงในเวียงวัง พระเนตรหลั่งหล่อชล
โอ้อกระหกระเหิน เคราะห์เผอิญอับจน
ม้าเลี้ยวหลงวงวน ไม่เห็นหนทางไป
ป่าระหงดงดึก สะพรั่งพฤกษาไสว
หอมระรื่นชื่นฤทัย ดอกไม้ไพรพนม
แก้วกุหลาบอังกาบแกม นางเด็ดแซมมวยผม
สร้อยฟ้าน่าชม ทั้งสุกรมยมโดย
บ้างบานตูมเป็นพุ่มพวง บ้างหล่นร่วงกลีบโรย
ทั้งพระพายชายไชย เกสรโปรยปรายมา
ทั้งรวยรินอินจันทน์ กะลำพันกฤษณา
เพลินพระทัยไคลคลา จนสุริยาเย็นรอนรอน
ครั้นถึงธารสะอ้านสะอาด เขาอังกาศสิงขร
จิ้งจอกออกเห่าหอน ในดงดอนดูมืดมัว
เสียงชะนีวิเวกโหวย ละห้อยโหยหาผัว
วังเวงน่าเกรงกลัว แลเห็นตัวอยู่ไรไร
เห็นที่แท่นแผ่นผา ที่ไสยาอาศัย
ลงจากม้าคลาไคล เข้านั่งใต้ไทรทอง
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยนัก พระวรพักตร์หม่นหมอง
แล้วทรงเปลื้องสะไบกรอง นางปูรองกายา
ค่อยเอนองค์ลงบนอาสน์ พระเศียรพาดแผ่นผา
ให้หิวโหยโรยรา นิ่งนิทราตรอมใจ
เสียงจังกรีดกริ่ง หริ่งหริ่งเรไร
เคลิ้มระงับหลับไป ใต้ต้นไทรทอง เอยฯ


บทเห่กล่อมเรื่องพระอภัยมณี ช่วงที่ ๖ ตอนพระอภัยติดท้ายรถนางละเวงและพยายามตามเกี้ยว
เห่เอยเห่บท เดินรถในราตรี
พระอภัยมณี นั่งที่ท้ายรถทรง
บุษบกกระจกกระจ่าง เห็นรางรางรูปทรง
คลุมประทมห่มองค์ เห็นแต่วงพักตรา
แม่ยอดหญิงพริ้งเพริศ วิลาศเลิศลักขณา
จะสะกิดก็ติดฝา สุดปัญญาสุดอาลัย
ยืนยิ้มอยู่ริมรถ รื้อระทดหฤทัย
หรือระงับหลับไหล ทำกระไรจะรู้ความ
นิ่งนึกเห็นดึกนัก เวลาก็สักสองยาม
คิดจะใคร่ไถ่ถาม ให้ขามขามในวิญญา
ยามประชวรกวนจิต จะเคืองคิดโกรธา
จึงถอยหลังรั้งรา เลียบไปหน้ารถชัย
พระถามธิดาสุลาลี พระชนนีเป็นไฉน
เขาบอกว่าหลับก็กลับไป ขึ้นยืนอยู่ใกล้แกลทอง
ผลักผลักสลักติด ก็คิดคิดเขม้นมอง
เสียงจังหรีดกระกรีดร้อง นึกว่าน้องจำนรรจา
เกาะเกาะพระเคาะแกล เป็นไรนะแม่วัณฬา
พี่มาแล้วนะแก้วตา จะรับรักษาทรามวัย
เย็นยะเยียบเงียบสำเนียง ได้ยินแต่เสียงเรไร
เสน่หาอาลัย มิได้ใกล้เคียงองค์
กลับมานั่งบังกาย อยู่ที่ท้ายรถทรง
พร่างพร่างกลางดง ต้นรังรงร่มครึม
พอเดือนเที่ยงเสียงผึ้ง หึ่งหึ่งระหึม
ทุกเงื้อมเขาเหงางึม ให้เศร้าซึมโศกา
พี่อุตส่าห์มาด้วย ก็มิได้ช่วยรักษา
หรือน้องแก้วแววตา สวรรคาลัยไป
ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย จะตายด้วยแม่ดวงใจ
กอดพระกรถอนฤทัย วิเวกในดงดอน
เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดมาอ่อนอ่อน
รวยรินกลิ่นขจร หอมเกสรสุมาลี
ลั่นทมนมสวรรค์ ทั้งอินจันทน์จำปี
สร้อยฟ้าสารภี มลุลีหลายพรรณ
ทั้งยมโดยโรยริน ระรื่นกลิ่นมลิวัลย์
เหมือนกลิ่นเนื้อเจือจันทน์ สะอื้นอั้นอาลัย
ไฉนดีเจ้าพี่เอ๋ย จะได้เชยให้ชื่นใจ
อุตส่าห์ตามทรามวัย มาจนใกล้กัลยา
เพราะฝาติดอยู่นิดเดียว ให้เสียวเสียวเสน่หา
เขม้นมองที่ช่องฝา จะใคร่เห็นหน้าพระน้อง เอยฯ


ช่วงที่ 7 แยกบทเห่กล่าวถึงพระอภัยมณี พยายามเข้าพบนางละเวง
เห่เอยเห่เพลง โฉมลเวงวัณฬา
ทำหลับไหลไสยา จนล่วงมากลางดง
แลเห็นองค์พระอภัย เที่ยวเลียบไต่รถทรง
ทำความเพียรเวียนวง คิดก็สงสารเธอ
ช่างซื่อสุดบุรุษใด ไม่มีใครจะเสมอ
ช่างง่วงเหงาเฝ้าละเมอ ช่างไม่เก้อแก่ใจ
เห็นประจักษ์ว่ารักจริง สู้ทอดทิ้งทัพชัย
มิตอบถ้อยจะน้อยใจ ครั้นพูดไปจะเป็นทาง
ทั้งรักแค้นแสนเสียดาย สะอื้นอายอางขนาง
ทำประชวรครวญคราง จึงถามนางลาลีวัน
ถึงไหนแล้วนะแก้วตา แม่หลับมาแต่สายัณห์
เข้าป่าสาลวัน จักรจั่นจับใจ
เจ้าแม่เอ๋ยเคยนั่ง จะลุกยังไม่ไหว
ให้กลุ้มกลัดในหทัย เจ็บไข้ก็ไม่เคย
ลมว่าวก็เฝ้าพัด หนาวสาหัสแล้วลูกเอ๋ย
กลางไพรใครเลย จะให้เขนยหนุนนอน
ทั้งน้ำค้างก็ช่างสาด ใจจะขาดลงรอนรอน
ถึงสุวรรณบรรจถรณ์ จะได้นอนให้อุ่นทรวง
ชะกระไรพระจันทร์ ช่างดัดดั้นไปลับดวง
ฤๅลับเงาภูเขาหลวง ไม่โชติช่วงชัชวาลย์
แลก็ไม่เห็นหน ช่างมืดมนอนธการ
ดอกไม้ก็ไม่เบิกบาน จะได้สำราญฤทัย
เจ้าประดิษฐ์คิดขับ ให้เพราะจับจิตใจ
จะได้ระงับหลับไหล ให้สร่างในทรวง เอยฯ


บทเห่กล่อมเรื่องพระอภัยมณี ช่วงที่ ๘ นางละเวงใจอ่อน และบทเห่นางสุลาลีวัน ยั่วเย้าและเอาใจช่วยพระอภัย
เห่เอยธิดา โฉมสุลาลีวัน
รับสั่งบังคมคัล ขึ้นนั่งบนชั้นเกรินทอง
แกล้งประดิษฐ์คิดคำ ขับลำนำทำนอง
โอ้ยามค่ำย่ำฆ้อง ให้มัวหมองในวิญญา
จะแลชมพนมพนัส ไม่ถนัดนัยนา
ช่างมืดมิดทุกทิศา มืดทั้งฟ้าดินดง
โอ้ว่าพระศศิธร ช่างลอยร่อนรถทรง
แจ่มกระจ่างสว่างวง ส่องที่ตรงแกลทอง
เห็นพักตราหล้าโลก จะส่างโศกเศร้าหมอง
โหยหวนนวลละออง มณฑาทองที่ต้องใจ
ภุมรินบินค้อยค้อย มาเชยสร้อยสุมาลัย
มืดในก็จนใจ เที่ยวเลียบไต่ตอมดวง
โอ้เอ็นดูแมงภู่น้อย ให้เศร้าสร้อยโศกทรวง
ด้วยกลีบหุ้มพุ่มพวง ไม่โรยร่วงรสสุคนธ์
ขอเทวัญในชั้นฟ้า ทั้งเทวดาเดินหน
ช่วยโปรยปรายสายฝน ให้อุบลแบ่งบาน
ลมโชยระโรยกลิ่น หอมกระถินพิมาน
มณฑาผกากาญจน์ มาซาบซ่านทรวงเย็น
หอมประดู่อยู่ใกล้ใกล้ แลก็ไม่ใคร่เห็น
น้ำค้างพร่างสาดกระเซ็น ยะเยือกเย็นพะยอมไพร
หนาวลมจะห่มผ้า หนาวน้ำฟ้าจะผิงไฟ
หนาวทรวงนะดวงใจ เศร้าฤทัยระทวยทรง
ถึงเสื้อสวมนวมหุ้ม ไม่เหมือนอุ้มแอบองค์
หอมดอกไม้ที่ในดง ไม่เหมือนทรงสุคนธา
แป้งสดรสรื่น ไม่หอมชื่นในนาสา
เห็นอื่นอื่นไม่ชื่นตา เหมือนได้เห็นหน้าพระน้อง เอยฯ













































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น